คอนโซล / พีซีสกู๊ปพิเศษ

8 พฤติกรรมการเล่นเกม JRPG สมัยก่อน

ที่คุณจะต้องบอกว่าใช่!

สำหรับเพื่อนๆที่เคยเล่นเกม JRPG ยุคเก่าๆอย่าง Final Fantasy, Dragon Quest, The Legend of Dragoon และอื่นๆอีกหลายๆเกมที่เป็นเกมจากประเทศญี่ปุ่น ก็คงจะต้องเคยสัมผัสวัฒนธรรมของความเป็น JRPG มาแล้วไม่มากก็น้อย ซึ่งวัฒนธรรมของ JRPG เหล่านี้เนี่ย มันทำให้เราเกิดพฤติกรรมบางอย่างขึ้น ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งผมคิดว่าเพื่อนๆหลายคนคงจะเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนแน่ๆ เรามาดูกันดีกว่าว่าพฤติกรรมที่ว่ามานั้น จะมีข้อไหนที่ตรงกับเพื่อนๆหรือเปล่า

1. ปล้นทุกบ้าน แวะทุกปราสาท ซากเมืองก็ไม่เว้น

สำหรับเกม JRPG ยุคก่อน โดยเฉพาะเกมที่อยู่ในช่วงของ Platform 8bit / 16bit ทั้งหลายนั้นมักจะมีการซ่อนไอเทมไว้ตามจุดต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เช่น ชั้นใต้ดินของปราสาท บ้านของชาวบ้าน โกดังเก็บของ ซากปรักหักพัง ซึ่งไอเท็มจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบของหีบสมบัติ หรือบางครั้งก็เอามาซ่อนไว้ในไหก็มี! บางครั้งก็ได้ไอเทมสุดยอดที่ไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ตรงนี้ หรือบางครั้งก็โดนหลอกให้ต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่างๆหลังเปิดหีบก็มี ซึ่งมันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ JRPG ในยุคนั้นที่สมัยนี้แทบจะหาไม่ได้แล้ว

2. ไม่รู้ทาง ผ่านไม่ได้ ก็คุยกับ npc ทุกตัวซะเลย!

เสน่ห์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของ JRPG ยุคก่อน คือ การหาข้อมูลจากชาวบ้าน ซึ่งถามว่าสมัยก่อนที่เกมส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่นนั้นคงมีไม่กี่คนที่จะอ่านมันออก หรือต่อให้เป็นภาษาอังกฤษก็เถอะแต่ตอนเรายังเด็กจะอ่านรู้เรื่องได้สักเท่าไหร่กันเชียว วิธีแก้ปัญหาก็คือการไล่คุยกับ npc ทุกตัวในหมู่บ้านหรือเมือง วกไปวนมาซัก 2-3 รอบ เดี๋ยวก็ผ่านไปได้เอง หรือถ้าคุยหมดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แสดงว่าที่เมืองนี้ไม่มีเนื้อเรื่องและหาทางอื่นไปต่อ ซึ่งเทียบกับเกมในยุคปัจจุบันที่ออกแบบเส้นทางเป็นเส้นตรงซะส่วนใหญ่ มีแผนที่ให้ดูแถมยังมี Mark Point ไว้ให้อีกต่างหาก รวมกับการที่เราโตขึ้นทักษะด้านภาษาก็เพิ่มขึ้นตาม ทำให้การเล่นเกม JRPG นั้นสะดวกขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริงๆ (แต่บางเกมก็ยังต้องใช้วิธีนี้อยู่นะ 555+)

3. ตอบข้อแรกเมื่อมีตัวเลือก

ในการสนทนาบนฉากเนื้อเรื่องนั้นมักจะมีคำถามปรากฎขึ้นมาให้เราเลือกตอบอยู่เสมอ ซึ่งในกรณีที่เล่นเกมภาษาญี่ปุ่นแล้วอ่านไม่ออก หรืออ่านออกแต่ตัวเลือกค่อนข้างคลุมเคลือไม่ชัดเจน การเลือกตอบข้อแรกนั้นเป็นอะไรที่เซฟความรู้สึกมาก ให้ความรู้สึกว่าถ้าเลือกข้อแรกแล้วมันจะปลอดภัย เนื้อเรื่องจะสามารถดำเนินต่อได้โดยไม่มีอะไรผิดพลาด ซึ่งเอาจริงๆก็มีหลายเกมที่ทำตัวเลือกที่ถูกต้องอยู่ในอันที่ 2 หรืออันสุดท้าย เพื่อเอามาดักเกมเมอร์ที่ชอบตอบข้อแรกหรือกดคุยรัวๆไม่สนใจเนื้อเรื่องอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ตัวเลือกเหล่านี้จะไม่ค่อยส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเกมเท่าไหร่นัก

4. อ่านค่า Status ไม่ออกเลยใส่ของที่เพิ่มอันบนสุดเสมอ เพราะเชื่อว่ามันคือค่าพลังโจมตี!

สำหรับคนที่เล่นเกมที่เป็นภาษาญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะเกิดปัญหาการอ่านค่าสเตตัสไม่ออกอย่างแน่นอน วิธีที่ทำให้ตัวละครของเราเก่งขึ้นโดยใช้ตรรกะง่ายๆเลยก็คือ มันต้องตีแรงขึ้นสิ! แล้วส่วนใหญ่เกม JRPG จะมีค่า Status ตัวบนสุดเป็นค่าพลังโจมตีแน่ๆ เพราะงั้นเราก็แค่ใส่ของอะไรก็ได้ที่ทำให้ค่าบนสุดมันเพิ่มขึ้นเยอะๆ จะได้โจมตีแรงๆ ส่วนที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่แม้แต่ตัวฮีลก็จะตีแรงขึ้นตามไปด้วยเลยล่ะ (555+)

5. หน้าตาไม่ดี ไม่เล่น!

เป็นเรื่องที่น่าสงสารตัวละครเฉพาะทางที่สร้างออกมามีจุดเด่นแตกต่างกว่าตัวละครอื่นๆ แต่มักจะมีข้อเสียคือหน้าตาไม่ดีหรือมีบุคลิกที่ไม่น่าสนใจสำหรับผู้เล่นสักเท่าไหร่ ในขณะที่เรากำลังสนใจอยู่กับสาวสวยๆหรือตัวผู้ชายเท่ๆ พร้อมกับสเตตัสเด่นที่แบบว่า “คริ เร็ว แรง” พวกตัวละครหน้าเถื่อนๆ ตัวใหญ่ๆที่มีจุดเด่นด้านความถึกและบึกบึนนั้นตกกระป๋องไปเลยจ้า แต่ก็มีเกมไม่น้อยที่ทำเนื้อเรื่องออกมาดักผู้เล่นให้ต้องเล่นตัวละครพวกนี้ไม่งั้นจะไม่ผ่าน เล่นเอาสายอวยสายหล่อต้องพาพี่โฉดทั้งหลายไปเก็บเวลกันถ้วนหน้า (ซึ่งก็แน่นอนว่าพอผ่านด่านแล้วก็ทิ้งไว้เหมือนเดิม)

6. สถานะผิดปกติคืออะไร ? อัดดาเมจไปเลยคุ้มกว่า!

สำหรับผู้เล่น JRPG สาย Turn-based ก็จะต้องรู้จักกับสถานะผิดปกติภายในเกมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นติดพิษ ตาบอด เป็นใบ้ เหน็บชา บลาๆๆ ซึ่งสถานะเหล่านี้มักจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกขณะต่อสู้ แต่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้คุ้มขนาดนั้นเมื่อเทียบโอกาสสำเร็จกับเทิร์นที่จะต้องเสียไป อีกทั้งมอนสเตอร์ประเภทบอสส่วนใหญ่ก็จะไม่ติดสถานะผิดปกติใดๆอีกด้วย ต่อให้เก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ทั่วไปเราก็ยังเน้นความรวดเร็วเป็นหลัก เพราะงั้นรีบใช้เวทย์หรือสกิลดาเมจหนักๆไปเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา (แต่สถานะผิดปกติพวกนี้เวลาที่มอนใช้ใส่เราเนี่ยสาหัสจริงๆนะ)

7. พบจุดเซฟนอกเมืองก็เหมือนรู้ชะตากรรม

จากประสบการณ์การเล่นเกม JRPG มาหลายเกมจะทำให้รู้ว่า การที่มีจุดเซฟโผล่ขึ้นมากลางดันเจี้ยนหรือสถานที่ที่มันไม่ปลอดภัยนั้น เป็นสัญญาณเตือนว่าข้างหน้านี้ถ้าไม่ใช่บอสก็ต้องเจอเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้เพื่อนๆอยู่ไม่สุขแน่ การเตรียมตัวเตรียมใจ ปั้มยา เปลี่ยนตัวเปลี่ยนของ ก็มักจะเกิดขึ้นหลังที่ได้พบจุดเซฟนี่แหละ ซึ่งสำหรับบางเกมที่เป็นดันเจี้ยนยาวๆและเนื้อเรื่องเข้มข้นนั้น ผู้เล่นที่มีประสบการณ์หลายคนเลือกที่จะเซฟหลายๆ Slot เผื่อว่าเนื้อเรื่องจะย้อนกลับออกมาไม่ได้ก็มี เพราะถ้าเกิดกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึงนั้น อาจส่งผลให้ต้องเริ่มเกมใหม่ตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว

8. ได้สกิลใหม่มา ต้องรีบลอง!

สำหรับเกมที่มีการปลดล็อคสกิลหรือเรียนรู้เวทย์ใหม่ๆได้นั้น ทันทีที่ได้รับสกิลมาไว้ในครอบครองแล้ว สิ่งแรกที่ทำก็คือลองใช้ทันที ไม่ใช่แค่เช็คว่าสกิลใหม่นั้นแรงไหม แต่หลักๆคือไอ้สกิลนี้มันเท่หรือเปล่า (555+ ) นอกจากจะเป็นเรื่องความแรงกับความเท่แล้ว ยังมีเรื่องเอฟเฟกความอลังการของสกิลอีกด้วย ยกตัวอย่างเกมซีรี่ย์ Final Fantasy ก็จะมีมนต์อสูรที่มีกราฟฟิกแสงสีเสียงอลังการกว่าสกิลหรือเวทย์อื่นๆภายในเกมมาก ซึ่งเรียกว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเกมเลยก็ว่าได้ จึงทำให้ผู้เล่นต้องการจะเสพความยิ่งใหญ่ของมนต์นี้

หวังว่าทั้งหมด 8 ข้อนี้จะมีข้อที่โดนกับใจของเพื่อนๆอยู่บ้างนะครับ ซึ่งมันเป็นเสน่ห์ของ JRPG ยุคนั้นที่เกมในยุคนี้มีน้อยลงจนแทบจะไม่เห็นกันแล้ว เลยทำให้พฤติกรรมเหล่านี้ของผู้เล่นลดหายไปตามยุคสมัย แต่ผมเชื่อว่าพฤติกรรมเหล่านี้ที่ผมและเพื่อนๆเคยสัมผัสมาแล้วนั้นจะถูกเก็บอยู่ในใจเราและให้เราคอยนึกถึงช่วงเวลาที่สนุกเหล่านี้ได้ตลอดไปครับ

MakinoJou

คนธรรมดาผู้ชื่นชอบ Japanese Culture, Games, Anime และ Vtuber
Back to top button