
เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เพื่อนๆ คงได้มีโอกาสสัมผัสสุดยอดเกม JRPG ที่มีเนื้อหาโรแมนติกมากเกมหนึ่งอย่าง Final Fantasy X และภาคต่อที่นำนางเอกสาวจากผู้แสนจะเรียบร้อยในภาคแรกมาปรับลุคให้เป็นสาวมั่นใน Final Fantasy X-2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ และแน่นอนว่าตัวเกมประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ Square Enix คาดหวังไว้ในสมัยนั้นเนื่องด้วยเหตุผลด้านยอดขายของเครื่อง PlayStation 2 ที่เป็นเครื่องเล่นเกมแรกสำหรับ Final Fantasy ภาคนี้ยังคงมีฐานแฟนคลับที่น้อยกว่าเครื่องเล่นเก่าอย่าง PS1 แต่แล้วคุณภาพของเกมที่ถูกเล่าขานกันปากต่อปากก็ส่งผลให้ยอดจองเกม Final Fantasy X พุ่งไปถึง 1.4 ล้านแผ่นและได้ชื่อว่าเป็นเกมแนว RPG ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคไปโดยปริยาย
ตอกย้ำความสำเร็จเข้าไปอีกเมื่อทาง Square Enix ประกาศนำ Final Fantasy X และ X-2 มาวางจำหน่ายในรูปแบบรีมาสเตอร์เป็นแพคคู่ให้กับเครื่องเล่น PlayStation 3 และ PlayStation Vita พร้อมปรับปรุงคุณภาพกราฟิกอีกครั้งก่อนที่จะทยอยลง PlayStation 4 กัับ PC และคราวนี้ก็มาถึงคิวของเจ้าเครื่องเกม Nintendo Switch ที่่จะได้สัมผัสความประทับใจของ Final Fantasy ภาคนี้กันบ้างแล้วครับ ซึ่งคุณภาพของเกมก็การันตีกันด้วยยอดขายและกระแสที่มีมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมกันเล่า? ผมถึงมองว่า Final Fantasy X/X-2 HD Remaster บน Nintendo Switch เป็นเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์ที่สุดที่แฟนเกม Final Fantasy จะต้องรีบหามาเล่นกัน เพื่อนๆ ทุกคนก็จะได้รู้กันในอีกไม่ช้านี้แล้วครับ
【 เนื้อหาและระบบภายในเกม 】
เกมชุด Final Fantasy X/X-2 HD Remaster นำเนื้อหาเพิ่มเติมจากเวอร์ชั่น International ที่เคยวางจำหน่ายแค่ในประเทศญี่ปุ่นมาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ได้เล่นกันแบบทั่วถึง
ในส่วนนี้ก็ไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะทุกคนก็คงรู้กันอยู่แล้ว เริ่มจาก Final Fantasy X ที่จะเล่าเรื่องราวของ Tidus นักกีฬาหนุ่มวัยรุ่นที่ออกเดินทางทั่วโลกขนาดใหญ่ชื่อว่า Spira โดยต้นแบบของสถาปัตยกรรมโลกในเกมก็คล้ายๆ กับแถบโอกินาว่าที่มีภูมิประเทศในแบบเขตร้อนของประเทศญี่ปุ่นและโลกในประเทศไทยนั่นเอง ซึ่งตลอดเกมเราจะได้พบกับพรรคพวกอีกมากหน้าหลายตาพร้อมกับระบบการปรับแต่งตัวละครที่เรียกว่าแผนผัง Sphere Grid โดยในเวอร์ชั่น HD Remaster เราสามารถเลือกรูปแบบแผนผังได้สองประเภทเพื่อปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์การเล่นของตัวเองครับ ส่วนหัวใจหลักของเกมอย่างระบบการต่อสู้ก็มีการเปลี่ยนจากระบบ Active Time Battle ที่ใช้มานานตั้งแต่ภาคแรกออกไปหมดเป็นระบบ Conditional Turn-based Battle ที่ไม่ได้เป็นการสลับฝั่งโจมตีแบบธรรมดา แต่จะใช้เงื่อนไขด้านค่าพลังความเร็วหรือปัจจัยอื่นๆ ในการกำหนดรอบโจมตี นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะถึงตาเราโจมตีเมื่อไหร่ และต้องคิดพลิกแพลงสถานการณ์กันหลายตลบเลยครับ
ตามมาด้วยเนื้อเรื่องของ Final Fantasy X-2 ที่จะโฟกัสไปที่ตัว Yuna และเพื่อนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ โดยเราก็ยังต้องท่องโลก Spira ในช่องสองปีให้หลังจากเหตุการณ์ภาคแรก ซึ่งเราจะได้เห็น Yuna ในลุคที่จะทำให้พวกหนุ่มๆ อย่างเราจำไม่ได้และหลงรักได้ตั้งแต่แรกเห็นเลยครับ ตัวเกมมาพร้อมกับระบบ Jobs หรือการเปลี่่ยนอาชีพแบบในเกมภาคสามและประยุกต์เข้ากับระบบใหม่ที่เรียกว่า Dressphere ซึ่งจะมีบทบาทแทนแผนผัง Sphere Grid แต่ความพิเศษอยู่ตรงทีี่เราสามารถเลือกเปลี่ยนอาชีพของตัวเองได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนที่กำลังต่อสู้อยู่ เรียกได้ว่าสะดวกมากๆ เลยครับ และที่พิเศษไปกว่านั้น ทุกครั้งที่เปลี่ยนอาชีพชุดของพวก Yuna และเพื่อนๆ ก็จะเปลี่ยนไปด้วย ในส่วนของการต่อสู้ก็เปลี่ยนกลับมาใช้ Active Time Battle กันอีกครั้งแต่ปรับให้เกมเพลย์รวดเร็วขึ้นพร้อมให้สมาชิกในทีมโจมตีกันได้พร้อมๆ กันแล้ว เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมที่ค่อนข้างใหม่ในสมัยนั้นเลยทีเดียวครับ
ระบบ Dressphere ที่จะให้เราปรับสไตล์การเล่นพร้อมเปลี่ยนชุดในฉากต่อสู้ได้เลย (ผู้เล่นสามารถปรับความยาวฉากเปลี่ยนชุดได้ผ่านเมนูบริเวณด้านซ้ายของจอ)
ภายในโลกแห่ง Spira ก็จะมีมินิเกมให้เราเล่นมากมาย เริ่มต้นจาก Final Fantasy X ที่มาพร้อมกับมินิเกมอย่าง Blitzball ที่เป็นกีฬาของตัวเอกอย่าง Tidus ชื่นชอบหรือจะเป็นการแข่งขัน Chocobo ก็มีให้เล่นเช่นกัน ส่วน Final Fantasy X-2 ก็ไม่น้อยหน้าเพราะมีมินิเกมแนวฝึกสมองอย่าง Sphere Break และเกม Blitzball ในแบบที่จะให้เราเป็นผู้จัดการทีมครับ ต้องบอกเลยว่ามินิเกมเหล่านี้ช่วยให้เราได้ผ่อนคลายจากการเล่นในเนื้อเรื่องหลักได้ดีเลยทีเดียวครับ แต่เท่านั้นยังไม่คุ้มค่าพอ เพราะทางผู้พัฒนายังใจดีแถม Final Fantasy X: Eternal Calm ซึ่งเป็นภาพยนตร์สั้้นความยาวประมาณ 15 นาทีที่จะบอกเล่าเนื้อเรื่องคั่นกลางระหว่าง Final Fantasy X กับ X-2 โดยเนื้อหาจะเป็นอย่างไรนั้น เพื่อนๆ ก็ต้องไปสัมผัสกันเอาเองครับ นอกจากนี้ยังมี Final Fantasy X-2: Last Mission ที่เป็นโหมดเนื้อเรื่องสั้นๆ ที่มีการเล่นคล้ายกับเกม Chocobo Dungeon ด้วย
เนื้อหาเสริมอย่าง Final Fantasy X-2: Last Mission ที่เพิ่งแฟนๆ ทั่วโลกได้เล่นกันตอนนำมาเกมรีมาสเตอร์เมื่อไม่นานมานี้
【 กราฟิก 】
Final Fantasy X/X-2 HD Remaster บน Nintendo Switch รันที่ความละเอียดสูงสุด 1080p เมื่อต่อภาพขึ้นบนโทรทัศน์ใน TV Mode และสามารถรันได้ในความละเอียดระดับ 720p ในการเล่นแบบพกพาพร้อมเฟรมเรตนิิ่งๆ ที่ 30FPS เมื่อสังเกตดูแล้วจะพบว่าตัวเกมในเวอร์ชั่น Nintendo Switch ใช้ Final Fantasy X/X-2 HD Remaster ในเวอร์ชั่น PlayStation 4 เป็นต้นแบบ แม้ว่าจะมีการลดคุณภาพกราฟิกพื้นผิวระยะไกลลงไปบ้าง แต่โมเดลของตัวละครก็คมกริบ สวยเนี้ยบไม่ต่างจากเวอร์ชั่น PS4 เลยครับ ในส่วนของเอฟเฟคเกมก็ดูไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่่าไหร่ สามารถทำได้ตามมาตรฐานการพอร์ตเกมยุค PS2
แต่ข้อติในส่วนกราฟิกที่เห็นได้ชัดคือคัทซีนและฉากในเกมที่มีพื้นหลังเป็นภาพ Pre-rendered ทำออกมาได้ไม่ดีนัก เพราะยังใช้ความละเอียดแบบ 480p เหมือนต้นฉบับแต่ว่า Upscale และปรับสัดส่วนของภาพให้เป็น 16:9 เพื่อให้รันบนเครื่องเล่นเกมยุคใหม่่ได้ เพราะฉะนั้นคัทซีนและฉากเหล่านี้ก็จะไม่ได้มีภาพที่ละเอียดมากนัก ในส่วนของคัทซีนแบบ Real-time ก็จะเห็นได้ว่าท่าทางการเคลื่อนไหวดูแข็งๆ ไปบ้างซึ่งพอเข้าใจได้ว่าเกมก็ค่อนข้างมีอายุพอสมควร ครั้นจะปรับปรุงเรื่องนี้ให้หมดจดก็ดูท่าจะเป็นเรื่องยาก
ภาพกราฟิกที่ไม่ได้โดดเด้งจากเวอร์ชั่นดั้งเดิมบน PlayStation 2 มาก แต่ด้วยฝีมือของทีมงานรีมาสเตอร์ก็ทำให้ดูสวยในระดับหนึ่งเลย
คัทซีนแบบที่เป็น Pre-renderedยังมีความละเอียดเท่าเดิมแต่ได้รับการ Upscale เมื่อมองจากจอของ Nintendo Switch ก็ยังพอกล้อมแกล้มได้อยู่บ้าง
【 Final Fantasy X บน Nintendo Switch เป็นตัวเกมที่สมบูรณ์มากที่สุด 】
มาถึงหัวข้อที่ทุกคนรอคอยแล้วใช่ไหมครับ ผู้เขียนได้ย้ำไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า Final Fantasy X/X-2 HD Remaster สำหรับ Nintendo Switch ถือเป็นตััวเกมเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด เพราะเหตุผลใด? เริ่มต้นกันที่ข้อแรกตัวเกมใช้เวอร์ชั่น PlayStation 4 เป็นตัวยืนพื้นที่นอกจากคุณภาพกราฟิกที่เพิ่มขึ้นจากเดิมแล้วยังมีเพลงประกอบถึงสองแบบให้เราเลือกระหว่างแบบต้นฉบับกับแบบเรียบเรียงใหม่ซึ่งจะให้ความรู้สึกในการเล่นที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงเพิ่มรายชื่อทีมงานจาก Virtuos ในส่วนของ Credit และเมนูปรับเปลี่ยนปุ่มควบคุมให้ด้วยครับ แต่ถ้ามีแค่นี้ก็ยังไม่น่่าจะจุใจพอ เพราะตัวเกมได้เพิ่มเมนู Quick Recovery จากเวอร์ชั่น PS Vita มาให้ใช้ด้วย ซึ่งเราสามารถเรียกเมนูนี้ขึ้นมาได้เฉพาะการเล่นในโหมดพกพาเท่านั้นเนื่องจากตัว Quick Recovery จะซ่อนอยู่บริเวณทางซ้ายของจอเครื่อง Nintendo Switch เพียงแค่เราจิ้มไปบนจอสัมผัสก็จะสามารถฮีลสมาชิกในทีมได้สะดวกง่ายดาย และสุดท้ายการเล่นในโหมดพกพาก็คือคุณสมบัติสำคัญของ Nintendo Switch นั่นเอง
เมื่อเทียบกันแล้ว เราอาจจะต้องสังเวยคุณภาพกราฟิกลงเพียงเล็กน้อย (เอาเป็นว่าแทบสังเกตไม่เห็น) แลกกับเกมเวอร์ชั่น PlayStation 4 ที่พกพาไปไหนก็ได้ หรือบางคนอาจทักท้วงว่าตัวเกมบน Steam มาพร้อมกับการปรับแต่งที่มากกว่าไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเร็วเกมเพลย์หรือเมนูเสียงพากย์ที่เราเลือกภาษาได้ แต่ถ้าวัดประสบการณ์การเล่นแบบดั้งเดิมเป็นเกณฑ์ เหตุผลเหล่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้แฟนๆ Final Fantasy แทบทุกคนรีบวิ่งแจ้นไปหา Final Fantasy X/X-2 HD Remaster เวอร์ชั่นนี้มาเล่นแล้ว จริงไหมครับ
ก่อนจากกัน ก็ยังอยากยืนยันคำเดิมว่า Final Fantasy X/X-2 HD Remaster ยังคงเป็นเกมดีเกมเดิมที่พวกเรารู้จักกัน ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเล่นในครั้งอดีตอาจจะเลือนลางไปบ้างแต่ก็สามารถมั่นใจว่าการกลับมาในรูปแบบรีมาสเตอร์ครั้งนี้จะทำให้ก้าวแรกในโลก Spira ที่เรากำลังจะย่างเท้าเข้าไปอีกครั้งเป็นเหมือนกับการกลับไปสู่วัยเด็กเมื่อสิบกว่าปีก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทั้งบรรยากาศและพรรคพวกที่เราจะได้เข้าไปเยี่ยมเยียนพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการพกพาไปไหนก็ได้ของ Nintendo Switch ทำให้ไม่ว่าจะที่ไหน หรือเมื่อไหร่ เราก็ยังมีเพื่อนๆ ที่จะออกเดินทางผจญภัยไปกับเราร่วมร้อยชั่วโมงเลยทีเดียวเชียว
สุดท้ายนี้พวกเรา ThisIsGame Thailand ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment Asia ที่เอื้อเฟื้อผลงานเกมคุณภาพมาให้เราได้ทดสอบกัน ณ ที่นี้ด้วย และหวังว่าแฟนๆ ทุกคนจะได้เข้ามาสนุกกับประสบการณ์การเล่นเกมที่ครบรสทั้ง รัก เหงา เศร้า ตื่นเต้นใน Final Fantasy X/X-2 HD Remaster บน Nintendo Switch กันในวันที่ 16 เมษายนนี้ครับ
มาเป็นเพื่อนกันนะ! @Thisisgame
>> เข้ากลุ่มคนไทยพูดคุยเกี่ยวกับ <<



